วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

D-HOUSE GROUP กลุ่มนักวิจัย

D-HOUSE GROUP
D-HOUSE GROUP PROJECT DEVELOPER ฝ่าย วิเคราะห์แผนร่วมพัฒนาโครงการเพื่อธุรกิจ DHG - PPP. THAILAND 1.Dr.Samai Hemman 2.Dr.Teernun Suttisrisung 3.WG.CDR. 


การวิจัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โอลิน เลวี วอร์เนอร์ (Olin Levi Warner) การวิจัยชูคบเพลิงแห่งความรู้ (พ.ศ. 2439) ห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐฯ อาคารโทมัส เจฟเฟอร์สัน, วอชิงตัน ดีซี
การวิจัย (อังกฤษ: research) หมายถึงการกระทำของมนุษย์เพื่อค้นหาความจริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทำด้วยพื้นฐานของปัญญา ความมุ่งหมายหลักในการทำวิจัยได้แก่การค้นพบ (discovering), การแปลความหมาย, และ การพัฒนากรรมวิธีและระบบ สู่ความก้าวหน้าในความรู้ด้านต่าง ๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในโลกและจักรวาล การวิจัยอาจต้องใช้หรือไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ได้
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาศัยการประยุกต์ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ได้แรงผลักดันจากความอยากรู้ อยากเห็น การวิจัยเป็นตัวสร้างข้อมูลข่าวสารเชิงวิทยาศาสตร์และทฤษฎีที่มนุษย์นำมาใช้ในการอธิบายธรรมชาติและ คุณสมบัติของสรรพสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา การวิจัยช่วยให้การประยุกต์ทฤษฎีต่าง ๆ มีความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐ องค์การการกุศล กลุ่มเอกชนซึ่งรวมถึงบริษัทต่าง ๆ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำแนกได้เป็นประเภทตามสาขาวิทยาการและวิชาเฉพาะทาง คำว่าการวิจัยยังใช้หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับวิชาการ บางสาขาอีกด้วย


การวิจัยขั้นพื้นฐาน

วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยขั้นพื้นฐานคือการสร้างความก้าวหน้าในความ รู้และความเข้าใจเชิงทฤษฎีของสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างตัวแปรต่าง ๆ (ดูสถิติ) ด้วยการบุกเบิกที่เกิดจากการผลักดันของความอยากรู้อยากเห็น, ความสนใจ และการรู้เองของ ตัวผู้วิจัยเอง เป็นการดำเนินการที่ยังไม่มีการคำนึงถึงการนำไปใช้ประโยชน์ไว้ล่วงหน้าแม้ ว่าในระหว่างการวิจัยจะมีการส่อว่าอาจนำผลไปประยุกต์เชิงปฏิบัติได้ก็ตาม คำว่า “พื้นฐาน” เป็นการบ่งชี้ว่าการวิจัยขั้นพื้นฐานเป็นการวางรากฐานให้เกิดการก้าวไปข้าง หน้าด้วยการสร้างทฤษฎีที่บางครั้งอาจนำไปประยุกต์ในเชิงปฏิบัติได้ เนื่องจากการที่ไม่อาจประกันได้ว่าการวิจัยจะมีประโยชน์เชิงปฏิบัติได้ใน ระยะสั้นได้นี้เองที่ทำให้นักวิจัยขั้นพื้นฐานหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนได้ ยากกว่าการวิจัยแบบอื่น
ตัวอย่างคำถามที่เกี่ยวกับการวิจัยขั้นพื้นฐาน:
โดยประเพณีแล้ว การวิจัยขั้นพื้นฐานถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่จะต้องมาก่อนการวิจัยประยุกต์ ซึ่งก็เช่นกันที่จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นก่อนการพัฒนาสู่ขั้นการนำไป ใช้งาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ การตัดขาดกันอย่างชัดเจนดังกล่าวนี้มีน้อยลงกลายเป็นการผสมผสานระหว่างกัน มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของเทคโนโลยีชีวภาพและอิเล็กทรอนิกส์ซึ่ง การค้นพบพื้นฐานอาจทำขนานกันไปได้กับงานที่มุ่งให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ และ ในภาคส่วนของการร่วมมือกันระหว่างรัฐและภาคเอกชนที่ช่วยกันค้นลึกละเอียดลง ไปในบางสิ่งที่มีความสำคัญและน่าสนใจ

กระบวนการวิจัย

การวิจัยทางวิทยาศาสตร์

โดยทั่วไป เป็นที่เข้าใจกันว่าการวิจัยคือการกระทำตามกระบวนการที่มีโครงสร้างเฉพาะอัน ใดอันหนึ่ง แม้ว่ากระบวนการต่าง ๆ ดังกล่าวจะมีความผันแปรแตกต่างกันไปตามลักษณะของเนื้อหางานและตามนักวิจัย อยู่บ้างก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐานและการวิจัยประยุกต์จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้:
ความเข้าใจผิดทั่ว ๆ ไปที่มักเกิดขึ้นได้แก่การคิดหรือการถือว่าได้พิสูจน์หรือได้ทดสอบสมมุติฐาน ไปแล้วด้วยกรรมวิธีนี้ แต่ที่จริงแล้ว โดยทั่วไปแล้วเราใช้สมมุติฐานตัวที่เราคาดว่าอาจจะใช้ได้เพื่อการสังเกตผล ที่จะได้จากการทดลอง แต่ถ้าผลการทดลองออกมาไม่คงเส้นคงวาตามสมมุติฐานก็จะต้องล้มเลิกสมมุติฐาน นั้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผลที่ออกมามีความคงเส้นคงวาตามสมมุติฐานจึงจะถือได้ว่าการทดลองนั้นสนับ สนุนสมมุติฐาน การที่ใช้ภาษาอย่างระมัดระวังดังกล่าวนี้ก็เนื่องมาจากนักวิจัยทราบกันดีว่า สมมุติฐานทางเลือกหลาย ๆ สมมุติฐานที่อาจมีความคงเส้นคงวากับผลการสังเกตได้ ยังไม่อาจได้ถือว่าเป็นการพิสูจน์สมมติฐานได้แล้ว เป็นได้แต่เพียงการสนับสนุนการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ของในแต่ละครั้งที่มัก ชวนให้คิดว่าเป็นจริง ซึ่งก็ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการพิสูจน์ได้แล้วเช่นกัน สมมุติฐานที่มีประโยชน์จะช่วยให้นักวิจัยสามารถรับรองผลการคาดการณ์ได้จาก ความแม่นยำของการสังเกตเฉพาะคราวของการทดลองนั้น ๆ ในขณะที่ความแม่นยำของการสังเกตดีขึ้นเรื่อย ๆ นี้ ตัวสมมุติฐานเดิมจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะช่วยให้เกิดความแม่นยำได้อีกต่อไป ในกรณีเช่นนี้ สมมุติฐานใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาท้าทายสมมุติฐานเดิมต่อไปอีก สมมุติฐานใหม่ที่ทำให้การคาดการณ์แม่นยำขึ้นนี้ก็จะกลายเป็นสมมุติฐานที่มา แทนที่

การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์

กรรมวิธีวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ประกอบ ด้วยเทคนิคและแนวทางที่นักประวัติศาสตร์ใช้แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์และ หลักฐานอื่นมาใช้เพื่อวิจัย แล้วจึงจะเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมา มีแนวทางหลายแนวที่นักประวัติศาสตร์นำมาใช้ในการทำงานภายใต้หัวข้อ “คำวิจารณ์ภายนอก”, “คำวิจารณ์ภายใน”, และ “การสังเคราะห์” สิ่งเหล่านี้รวมถึง “คำวิจารณ์ขั้นสูง” (higher criticism) และ “การวิจารณ์ตัวบท” (textual criticism) ถึงแม้ว่าบางรายการมีความแปรผันต่างกันไปตามเนื้อเรื่องและตามตัวนักวิจัยก็ ตาม แต่โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดของการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์เกือบทั้งหมดจะมีรูปแบบดังนี้:
  • การบ่งชี้วันเวลาดั้งเดิม
  • หลักฐานของสถานที่
  • การยอมรับและรับรองผู้แต่ง
  • การวิเคราะห์ข้อมูล
  • การบ่งชี้ถึงความซื่อสัตย์สุจริต (integrity)
  • แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

ระเบียบวิธีวิจัย

เป้าหมายการวิจัย

เป้าหมายของการวิจัยได้แก่การสร้างความรู้ใหม่ซึ่งมี 3 รูปแบบ (ขอบเขตระหว่างรูปแบบยังคงมีความคลุมเครืออยู่ดังได้กล่าวมาแล้ว)

ประเภทของการวิจัย

การวิจัยอาจแบ่งออกได้ประเภทที่ชัดเจนได้ 2 ประเภทคือ

ระเบียบวิธีวิจัยที่มีการใช้

ระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้โดยนักวิชาการทั่วไปรวมถึง:
การวิจัยโดยทั่วไปมักใช้รูปแบบการทำงานคล้ายรูปร่างของนาฬิกาทราย[1] แบบจำลองนาฬิกาทรายเริ่มด้วยการวิจัยที่มีสเปกตรัมที่กว้างแล้วบีบให้แคบลง เน้นจุดที่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นเพื่อการใช้โดยผ่านระเบียบวิธีการของ โครงการวิจัย แล้วจึงขยายการวิจัยให้กว้างขึ้นใหม่ในรูปของการถกเถียงและผลที่ได้ออกมา

การตีพิมพ์

การตีพิมพ์ทางวิชาการ หมายถึงระบบที่ถือกันว่าเป็นความจำเป็นที่จะต้องให้นักวิชาการผู้มีความรู้เสมอกันทำการทบทวนผลงาน (peer review) ก่อนที่จะเผยแพร่แก่ผู้อ่านในวงกว้าง ผลงานทางวิชาการส่วนใหญ่ตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารวิชาการ หรือในรูปของหนังสือ ในแวดวง “การตีพิมพ์ STM” ย่อมาจากการตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, และการแพทย์ (Science, Technology, and Medicine)
ในสาขาวิชาที่มั่นคงแล้วส่วนใหญ่จะมีวารสารวิชาการและแหล่งตีพิมพ์เป็นของตนเอง แต่ก็มีวารสารวิชาการหลายเล่มที่เป็นสหสาขาวิชาที่ตีพิมพ์บทความวิชาการหลาย สาขาหลักและสาขารองในเล่มเดียวกัน ประเภทของวิชาการที่ได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ทั้งที่เป็นงานวิจัยหรือที่ เป็นความรู้เพื่อเผยแพร่ก็ยังมีความผันแปรหลากหลายระหว่างสาขาด้วยเช่นกัน
การตีพิมพ์งานทางวิชาการในขณะนี้ส่วนมากกำลังอยู่ในระยะของช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งเริ่มมาจากการตีพิมพ์ในรูปอีเล็กทรอนิกส์ แบบจำลองทางธุรกิจการตีพิมพ์มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะรูปแบบทางอีเล็กทรอนิกส์ นับตั้งแต่ประมาณช่วงปี พ.ศ. 2535- พ.ศ. 2539 ที่เริ่มมีการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ของ ทรัพยากรข้อมูลข่าวสารอีเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะวารสารวิชาการซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ปัจจุบันมีแนวโน้มหลักเกิดขึ้นใหม่โดยเฉพาะวารสารวิชาการที่มีชือเสียงหลาย เล่มที่พัฒนาเป็น ระบบเปิด (open access) ระบบดังกล่าวนี้เปิดมี 2 รูปแบบได้แก่: การตีพิมพ์ระบบเปิดที่บทความบางส่วนหรือเกือบทั้งหมดยอมให้ผู่อ่านเข้าสืบ ค้นได้นับตั้งแต่วันตีพิมพ์ กับ ระบบเข้ากรุอัตโนมัติ (self-archiving) ที่ยอมให้ผู้เขียนบทความสำเนาบทความของตนเองนำขึ้นเผยแพร่โดยไม่คิดมูลค่าทางเว็บไซต์

ทุนวิจัย

เงินทุนที่ใช้ในการทำวิจัยเกือบส่วนใหญ่ได้มาจากแหล่งสำคัญ 2 แหล่งได้แก่ รัฐบาล (ส่วนใหญ่ผ่านมหาวิทยาลัย และในบางกรณีผ่านทางกองทัพ) และองค์การธุรกิจ (ผ่านหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของบริษัท) มีนักวิจัยระดับอาวุโสหลายคนที่ใช้เวลาของการวิจัยไม่น้อยไปในการเขียนข้อ เสนอขอรับทุนวิจัย เงินทุนวิจัยเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการช่วยสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในงานวิจัย เท่านั้น แต่ยังถือเป็นเกียรติภูมิของผู้วิจัยอีกด้วยหากได้รับเงินทุนมาจากแหล่งทุน ที่มีชื่อเสียง ตำแหน่งทางวิชาการบางตำแหน่งของสถาบันบางแห่งถือเป็นเงื่อนไขด้วยว่าจะต้อง เป็นผู้เคยได้รับทุนวิจัยจากแหล่งทุนบางแห่ง เช่น สถาบันสุขภาพแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา เงินทุนวิจัยรัชดาภิเศกสมโภช หรือทุนวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย และสภาวิจัยแห่งชาติของประเทศไทยเป็นต้น

ศัพทมูลวิทยา

คำว่า “research” มาจากภาษาฝรั่งเศส recherche, ที่มาจากคำ rechercher, หมายถึงการค้นหาอย่างใกล้ชิด ซึ่งคำว่า "chercher" หมายถึง "ค้นหา"; ซึ่งมีความหมายทั่วไปว่า 'สำรวจอย่างถี่ถ้วน'
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายของคำ “วิจัย” อย่างสั้น ๆ ว่าหมายถึงการค้นคว้าเพื่อหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนตามหลักวิชา

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. Structure of Research, Trochim, W.M.K, (2006). Research Methods Knowledge Base.

แหล่งข้อมูลอื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น